ข้อมูลสำคัญตลาดทองคำ
- ราคาทองคำแท่งพุ่งกว่า 5% ในสัปดาห์นี้
- ดอลลาร์สหรัฐร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษ
- ข้อมูล PPI ของสหรัฐฯ จะประกาศในคืนนี้
ราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทะลุระดับสำคัญที่ 3,200 ดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และความกังวลด้านเศรษฐกิจจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ราคาทองคำ gold spot พุ่งขึ้นกว่า 1% สู่ระดับ 3,214.92 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,219.84 ดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้านี้ ราคาทองคำแท่งพุ่งขึ้นกว่า 5% ในสัปดาห์นี้
สัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 2% เป็น 3,233.80 ดอลลาร์
นาย Alexander Zumpfe ผู้ค้าโลหะมีค่าจาก Heraeus Metals Germany กล่าวว่า “ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนตอกย้ำบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตและโล่ป้องกันเงินเฟ้อ”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ระงับการเก็บภาษี “ซึ่งกันและกัน” กับประเทศอื่นๆ อย่างกะทันหันเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีผลบังคับใช้เมื่อต้นสัปดาห์นี้ แต่เขากลับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อลงโทษที่จีนเคลื่อนไหวตอบโต้ในตอนแรก
การหยุดชะงักดังกล่าวไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลของบรรดาผู้นำทางธุรกิจเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากสงครามการค้าของทรัมป์และการนำไปปฏิบัติอย่างวุ่นวายมากนัก
หุ้นทั่วโลกร่วงและดัชนีดอลลาร์ (DXY) ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้ราคาทองคำแท่งที่เทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกลงสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ
ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยทำสถิติสูงสุดหลายครั้งและเพิ่มขึ้นเกือบ 21% ในปีนี้ ซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอน ความต้องการของธนาคารกลาง และกระแสเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนที่รองรับด้วยทองคำเพิ่มมากขึ้น
นาย จิโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์ของ UBS กล่าวว่า “เราเชื่อว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป โดยเราตั้งเป้าราคาทองคำไว้ที่ 3,400-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า”
ข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดีแสดงให้เห็นว่า ราคาผู้บริโภคของสหรัฐ ลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับข้อมูลราคาผู้ผลิตของสหรัฐ ซึ่งจะประกาศในค่ำวันนี้ เพื่อให้ทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
ปัจจุบัน นักลงทุนต่างคาดเดาว่า เฟดจะกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิถุนายน และอาจลดลงถึง 1 เปอร์เซ็นต์เต็มภายในสิ้นปี 2568 (FEDWATCH)
ที่มา: สำนักข่าวรอยเตอร์ส (reuters.com)