โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
รอดูบริเวณ 1,805-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่หลุด แนะนำเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว ทั้งนี้ สามารถทยอยแบ่งปิดสถานะซื้อทำกำไร หากราคาดีดตัวขึ้นไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,803 1,790 1,776 แนวต้าน : 1,833 1,845 1,856
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่ผันผวนอย่างมาก โดยทองคำทะยานขึ้นก่อนหลัง ADP เผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 330,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 653,000 ตำแหน่ง สถานการณ์ดังกล่าวกดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง พร้อมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ร่วงลงแตะ 1.129% จนเป็นปัจจัยหนุนทองคำให้ทะยานขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,831.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์อย่างไรก็ดี เริ่มมีแรงขายทำกำไรบริเวณดังกล่าว ก่อนที่จะปรับตัวลงแรงโดยได้รับแรงกดดันหลัก 2 ประการ ได้แก่ (1.) ISM เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 64.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.5 และ (2.)ถ้อยแถลงในเชิง Hawkish หรือสนับสนุนการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินของนายริชาร์ด คลาริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่ระบุเมื่อคืนนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปี 2022 ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในต้นปี 2023 ชี้หากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งเขาจะสนับสนุนให้เฟด “ประกาศ” ปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรในปลายปีนี้ ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนให้ดัชนีดอลลาร์และบอนด์ยีลด์10 ปีกลับมาพุ่งขึ้นจนเป็นปัจจัยกดดันให้ทองคำดิ่งลงกว่า 25 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับสูงสุดสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,806.56 ดอลลาร์ต่อออนซ์ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับวันนี้ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) และการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
ราคาเหวี่ยงตัวในกรอบกว้าง หากรักษาระดับได้ราคามีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านอีกครั้ง ประเมินแนวรับบริเวณ 1,805-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้แข็งแกร่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านในโซน 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นระดับสูงสุดเดือนก.ค.)
กลยุทธ์การลงทุน :
เปิดสถานะซื้อหากราคาอ่อนตัวลงมาในโซน 1,805-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมลดการลงทุนหากราคาหลุด 1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้อาจพิจารณาแบ่งทองคำออกขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านได้ถือสถานะซื้อต่อ
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐต่ำกว่าคาดในเดือนก.ค. ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 330,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 653,000 ตำแหน่ง
- (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 323.73 จุด นลท.ผิดหวังตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่น่าผิดหวังในเดือนก.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,792.67 จุด ลดลง 323.73 จุด หรือ -0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,402.66 จุด ลดลง 20.49 จุด หรือ -0.46% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,780.53 จุด เพิ่มขึ้น 19.24 จุด หรือ +0.13%
- (+) ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพอังกฤษเรียกร้องชาติตะวันตกตอบโต้การโจมตีจากโดรนอิหร่าน ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอังกฤษ พลเอกนิค คาร์เตอร์ กล่าวในวันพุธว่า ชาติตะวันตกจำเป็นต้องร่วมมือกันตอบโต้ต่อการโจมตีที่เชื่อว่ามาจากโดรนของอิหร่าน ต่อเรือขนส่งน้ำมันลำหนึ่งเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ทำให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวอังกฤษเสียชีวิตหนึ่งคน และกัปตันเรือชาวโรมาเนียเสียชีวิตอีกหนึ่งคน พลเอกคาร์เตอร์ กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีในวันพุธว่า หากระบอบแห่งการป้องปรามยังไม่กลับคืนมายังอ่าวเปอร์เซีย ก็มีโอกาสและความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดการโจมตีและการคำนวณที่ผิดพลาดจากทางอิหร่าน และสิ่งที่จำเป็นต้องทำในตอนนี้คือการทำให้อิหร่านหยุดพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงนี้ คำกล่าวของพลเอกคาร์เตอร์มีขึ้นหลังจากที่มีเหตุการณ์คนร้ายบุกขึ้นเรือขนส่งน้ำมันอีกลำหนึ่งนอกชายฝั่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในวันอังคาร ก่อนที่จะลงจากเรือไปในเวลา 24 ชม.ต่อมา จากการเปิดเผยของกองทัพเรืออังกฤษ
- (-) รองประธานเฟดคาดเฟดประกาศลดวงเงิน QE ภายในปีนี้ นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 “ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด” นายแคลริดากล่าว “หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้” เขากล่าว
- (-) ดอลล์แข็งค่า รับคาดการณ์เฟดลดวงเงิน QE ปีนี้ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) หลังจากนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.21% แตะที่ 92.2686 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.46 เยน จากระดับ 109.11 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9063 ฟรังก์ จากระดับ 0.9041 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2551 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2537 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1838 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1863 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3887 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3915 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7382 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7393 ดอลลาร์
- (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐชะลอตัวในเดือนก.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 59.9 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 64.6 ในเดือนมิ.ย.
- (-) ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 64.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 60.1 ในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.5