โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ
จังหวะการอ่อนตัวลงของราคาบริเวณโซน 1,692-1,688 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้แนะนำเปิดสถานะซื้อ หรือ หากราคาทองคำไม่สามารถยืน 1,707-1,719 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ให้แบ่งทองคำออกขายเพื่อทำกำไรบางส่วน แต่หากผ่านได้ให้ชะลอการขายออกไป
แนวรับ : 1,688 1,676 1,658 แนวต้าน : 1,719 1,736 1,751
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 5.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำจะฟื้นตัวขึ้นโดยได้รับอานิสงค์เชิงบวกจากการอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์ ทั้งนี้ ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินเยนของญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้น 1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันพุธ หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ได้ดำเนินการตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณล่วงหน้าที่บ่งชี้ว่า BOJ อาจเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราโดยตรง
ขณะที่ดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ของสหรัฐปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบั่นทอนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% หรือ 100 bpsในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันที่ 20-21 ก.ย.นี้
ปัจจัยที่ระบุมา ช่วยหนุนให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,706.86 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้ เนื่องจากโดยรวมแล้วตลาดยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “อย่างแข็งกรร้าว” ต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จนเป็นปัจจัยสำคัญที่สกัดช่วงบวกของราคาทองคำไว้
ด้านกองทุน SPDR ลดการถือครองทองคำลง -2.32 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยยอดค้าปลีก, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index), ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจจากเฟดฟิลาเดลเฟีย, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, อัตราการใช้กำลังการผลิตและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค
หลังจากราคาทิ้งตัวลงแรง ราคาพยายามแกว่งตัวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานราคา ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุด 1,692-1,688 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,688 ระดับต่ำสุดของเดือน ก.ย.) จะมีโอกาสดีดตัวขึ้นช่วงสั้น โดยประเมินแนวต้านบริเวณ 1,707-1,719 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้านแรก กรอบด้านบนจะอยู่ที่ 1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดของสัปดาห์นี้)
กลยุทธ์การลงทุน
เปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,688-1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ลดพอร์ตสถานะซื้อหากราคาหลุด 1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หากราคาดีดตัวขึ้นให้พิจารณาโซน 1,719-1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดทยอยปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไร
ข่าวสารประกอบการลงทุน
- (+) ดอลลาร์อ่อนค่า หลังสหรัฐเผยดัชนี PPI ชะลอตัว ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (14 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ชะลอตัวลงทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.14% แตะที่ระดับ 109.6580 ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 143.15 เยน จากระดับ 144.37 เยน แต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส 0.9632 ฟรังก์ จากระดับ 0.9607 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3177 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3154 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 0.9982 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9979 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1541 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1503 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6740 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6738 ดอลลาร์สหรัฐ
- (+) สหรัฐเผยดัชนี PPI -0.1% ในเดือนส.ค. สอดคล้องคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวลง 0.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 8.7% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.8% จากระดับ 9.8% ในเดือนก.ค. การชะลอตัวของดัชนี PPI มีสาเหตุจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค.
- (-) นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ย 1% สัปดาห์หน้า หลังเงินเฟ้อพุ่งเกินคาด นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญตัวสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 20-21 ก.ย. ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 36% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% สู่ระดับ 3.25-3.50% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 64% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
- (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 30.12 จุด นลท.ช้อนซื้อหลังตลาดทรุดหนัก ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (14 ก.ย.) โดยตลาดฟื้นตัวจากแรงช้อนซื้อหลังจากดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงกว่า 1,200 จุดในวันอังคาร นอกจากนี้ การชะลอตัวของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดปิดในแดนบวก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,135.09 จุด เพิ่มขึ้น 30.12 จุด หรือ + 0.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,946.01 จุด เพิ่มขึ้น 13.32 จุด หรือ +0.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,719.68 จุด เพิ่มขึ้น 86.10 จุด หรือ +0.74%
- (-) บอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่งทะลุ 3.8% สูงสุด 15 ปี เก็งเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทระยะสั้นยังคงดีดตัวขึ้นในวันนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวได้ปรับตัวลง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.8% แตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ณ เวลา 22.28 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 3.765% หลังพุ่งแตะระดับ 3.834% ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.393% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 3.471%
- (+/-) “เซเลนสกี” ประกาศยูเครนใกล้ประสบชัยชนะ หลังยึดคืนพื้นที่จำนวนมากจากรัสเซีย ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ประกาศในวันนี้ว่า ยูเครนกำลังมุ่งหน้าสู่ชัยชนะ ขณะที่กองกำลังยูเครนสามารถโต้กลับ และยึดพื้นที่จำนวนมากกลับคืนจากทหารรัสเซีย “เรากำลังไปสู่ทิศทางเดียว นั่นคือมุ่งหน้าไปสู่ชัยชนะ” ปธน.เซเลนสกีระบุ หลังจากที่ยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่มากกว่า 3,000 ตารางไมล์จากกองทัพรัสเซีย
- (+/-) เยอรมนีชี้เร็วไปที่จะประกาศการถึงจุดเปลี่ยนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน นางคริสติน แลมเบรชท์ รมว.กลาโหมเยอรมนี กล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศว่าการรุกคืบของกองทัพยูเครนในช่วงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการทำสงครามกับรัสเซีย “เรื่องนี้ประเมินได้ยากเพราะเรายังไม่รู้ว่ารัสเซียจะตอบโต้อย่างไร แต่ก็ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจของยูเครน ซึ่งจะบ่อนทำลายเสถียรภาพของกองทัพรัสเซีย” นางแลมเบรชท์กล่าว
