บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 24 ส.ค.64 by YLG
โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
เปิดสถานะขายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว หากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือบริเวณ 1,814ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะขายเพื่อทำกำไรบางส่วนหากราคาไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,790-1,784 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,784 1,768 1,751 แนวต้าน : 1,814 1,833 1,849
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดทะยานขึ้น 23.43 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนหลักมาจากดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง 0.56% ท่ามกลางแรงขายทำกำไรหลังจากปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการพุ่งขึ้นมากสุดในรอบกว่า2เดือน นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากการที่นักลงทุนลดการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐกำลังเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การวิเคราะห์ของCNBC จากข้อมูลของม. Johns Hopkins พบว่า ค่าเฉลี่ย 7 วันของยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ของสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 147,300 รายซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และเพิ่มขึ้น 13% จากสัปดาห์ที่แล้ว ประกอบกับวานนี้ มาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีPMI ภาคการผลิตขั้นต้นของสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 61.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 62.5ส่วนดัชนีPMI ภาคบริการขั้นต้นของสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 55.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 59.5เช่นกัน ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นผ่านระดับสูงสุดของสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จนกระตุ้นแรงซื้อตามทางเทคนิคเพิ่ม นั่นทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,806.38 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านกองทุน SPDR ยังคงถือครองทองลดลงอีก -4.95 ตัน สู่ระดับ 1,006.66 ตันซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เม.ย.ปี2020ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยที่สกัดช่วงบวกราคาทองคำ สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ และดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดสาขาริชมอนด์
ปัจจัยทางเทคนิค :
ราคาทองคำยังคงพยายามยืนเหนือ 1,790-1,784ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ถ้าไม่สามารถปรับขึ้นไปยืนได้ จะเกิดแรงขายออกมาเพิ่มขึ้น โดยแนวรับระหว่างวันจะอยู่บริเวณ 1,784-1,768ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
เน้นการลงทุนระยะสั้นโดยเปิดสถานะขายหากราคาดีดตัวขึ้นทดสอบโซน 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากผ่าน 1,814ดอลลาร์ต่อออนซ์) ทั้งนี้อาจทยอยซื้อคืนเพื่อปิดสถานะขายทำกำไรหากราคาทองคำอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับ 1,784-1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ดอลล์อ่อนค่า หลังภาคการผลิต-บริการสหรัฐชะลอตัวดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (23 ส.ค.) หลังมีรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐชะลอลงในเดือนส.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนลดการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.58% แตะที่ 92.9582 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.68 เยน จากระดับ 109.80 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9124 ฟรังก์ จากระดับ 0.9176 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2645 ดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2844 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1748 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1695 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3729 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3622 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7216 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7136 ดอลลาร์
- ไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว จากระดับ 59.9 ในเดือนก.ค. โดยดัชนี PMI ที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคเอกชนของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว
- สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองฟื้นตัวขึ้นในเดือนก.ค. หรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 2% สู่ระดับ 5.99 ล้านยูนิต ซึ่งอยู่เหนือระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 5.83 ล้านยูนิต
- . ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 0.53 ในเดือนก.ค. จากระดับ -0.01 ในเดือนมิ.ย. และอยู่เหนือระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 0.15 ดัชนี CFNAI เดือนก.ค.บ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนดังกล่าว ขณะนักวิเคราะห์ระบุว่า จุดสูงสุดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ของสหรัฐอยู่ที่ไตรมาส 2 ของปีนี้
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐ ได้อนุมัติการใช้งานวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบออนเทคสำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปอย่างเต็มรูปแบบแล้วในวันนี้ วัคซีนดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ใช้งานในกรณีฉุกเฉินตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และมีประชาชนมากกว่า 204 ล้านคนในสหรัฐได้รับวัคซีนของไฟเซอร์แล้วขณะที่วัคซีนป้องกันโควิดอีก 2 ยี่ห้อที่ใช้งานในสหรัฐอย่างโมเดอร์นา และ จอห์นสันแอนด์จอห์นสันนั้น ยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเต็มรูปแบบจาก FDA
- กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลเปิดเผยรายงานวิจัยที่พบว่า ผู้สูงอายุที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่สามของบริษัทไฟเซอร์ มีภูมิคุ้มกันโคโรนาไวรัสเพิ่มขึ้นมาก และลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 ลงได้มากผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอในการประชุมของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนในวันพฤหัสบดีที่แล้ว และเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลในวันอาทิตย์ โดยที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายงานการศึกษาฉบับเต็ม รายงานของกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากสถาบันเกิร์ทเนอร์ (Gertner Institute) และสถานบันเคไอ (KI Institute) พบว่า ภูมิคุ้มกันของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีซึ่งได้รับวัคซีนโควิดเข็มที่สามของไฟเซอร์ เพิ่มขึ้นมากกว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแล้วสองเข็มถึง 4 เท่า หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่สามไปแล้ว 10 วันนอกจากนี้ วัคซีนโควิดเข็มที่สามยังช่วยลดความเสี่ยงของการป่วยหนักหรือการเข้าโรงพยาบาลเพราะโควิด-19 ลงได้ถึง 5-6 เท่า หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่สามไปแล้ว 10 วันเช่นกัน
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (23 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอนุมัติการใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทคอย่างเต็มรูปแบบ (full approval) ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้อัตราการฉีดวัคซีนในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮลในสัปดาห์นี้ รวมทั้งการแสดงมุมมองเศรษฐกิจของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,335.71 จุด เพิ่มขึ้น 215.63 จุด หรือ +0.61% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,479.53 จุด เพิ่มขึ้น 37.86 จุด หรือ +0.85% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,942.65 จุด เพิ่มขึ้น 227.99 จุด หรือ +1.55%