บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 21 ธ.ค.65 by YLG
โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ
เน้นเก็งกำไรจากการแกว่งตัวในกรอบ แนะนำเปิดสถานะขายในโซน 1,824-1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แบ่งซื้อคืนหากราคาไม่หลุดแนวรับโซน 1,803-1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยหากรับความเสี่ยงได้น้อยให้ชะลอการลงทุน
แนวรับ : 1,808 1,785 1,768 แนวต้าน : 1,830 1,847 1,865
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำวานนี้ปิดทะยานขึ้น 30.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงตามค่าเงินเยนที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 130.58 เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และเป็นการพุ่งขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 24 ปี หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยปรับแผนการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve control policy) ด้วยการขยายกรอบบนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่นให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ -0.25% ถึง +0.25%
สถานการณ์ดังกล่าว กดดันดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.66% จนเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นแรงจากระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 1,783.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประกอบกับราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าการอนุญาตก่อสร้างบ้านดิ่งลง 11.2% สู่ระดับ 1.342 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.48 ล้านยูนิต สะท้อนการชะลอตัวของภาคอสังหาของสหรัฐซึ่งเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์เพิ่มเติม ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนให้ราคาทองทำทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,820.73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถึงแม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในเดือนนี้ที่ 3.711% ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของญี่ปุ่นก็ตาม ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +1.74 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก CB และยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค
หากราคาสามารถรักษาระดับได้ ราคาอาจขยับขึ้นช่วงสั้น หรือมีลุ้นที่ราคาจะดีดขึ้นทดสอบแนวต้านโซนที่ 1,824-1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้านได้อาจทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมาสลับออกมาเพิ่ม และอาจทำให้ราคาปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ 1,803-1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำเปิดสถานะขายเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,824-1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตัดขาดทุนหากราคายืนเหนือบริเวณแนวต้าน 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ แบ่งซื้อคืนทำกำไรหากราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,803-1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน
- (+) เงินเยนพุ่งสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลัง BOJ ขยายกรอบบอนด์ยีลด์ ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันนี้ (20 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่น รายงานระบุว่า แม้ BOJ จะยังคงการกำหนดนโยบายแบบกว้าง ๆ ไว้ ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นที่ระดับ -0.1% และตรึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ 0% แต่ BOJ ได้ตัดสินใจขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่นให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ -0.25% ถึง +0.25%
- (+) ดอลล์ร่วงเทียบเยน หลัง BOJ ปรับนโยบายการเงิน ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (20 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สร้างความประหลาดใจต่อตลาดด้วยการประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.69% แตะที่ระดับ 104.0110 ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 131.58 เยน จากระดับ 136.97 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9266 ฟรังก์ จากระดับ 0.9303 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3610 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3666 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 10.4374 โครนา จากระดับ 10.4031 โครนา ส่วนยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0617 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0603 ดอลลาร์ และเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.2162 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2142 ดอลลาร์
- (+/-) สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 0.5% ในเดือนพ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 0.5% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.427 ล้านยูนิต แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4 ล้านยูนิต ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวร่วงลง 4.1% สู่ระดับ 828,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 ส่วนการก่อสร้างบ้านสำหรับหลายครอบครัว ซึ่งรวมถึงอพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม พุ่งขึ้น 4.8% สู่ระดับ 584,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านดิ่งลง 11.2% สู่ระดับ 1.342 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. โดยการอนุญาตก่อสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวลดลง 7.1% สู่ระดับ 781,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และการอนุญาตก่อสร้างบ้านสำหรับหลายครอบครัวลดลง 17.9% สู่ระดับ 509,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2564