บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 13 ก.ย.64 by HGF
โดย : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)
ทองคำลดลงจากดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัปดาห์นี้ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคและยอดค้าปลีกของสหรัฐ
ราคาทองคำคาดปรับลดลงทดสอบแนวรับ 1,780 ดอลลาร์
- สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำSpot ปรับลดลงเนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10ปีเพิ่มขึ้น แต่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในวันพฤหัสทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น หลังจากธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19(PEPP) ในวันศุกร์ทองคำโดนแรงเทขายเนื่องจากสหรัฐประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบรายปีซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับลดวงเงินมาตรการ QE และเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 โดยขายทองคำ 0.35 ตันในสัปดาห์ผ่านมา
- สัปดาห์นี้ติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคและยอดค้าปลีกของสหรัฐเดือนส.ค. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอื่นๆ ได้แก่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์กเดือนก.ย.ดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนก.ย.และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.
- แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดจะปรับลดลงทดสอบแนวรับ 1,780 ดอลลาร์ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหว 1,780-1,810 ดอลลาร์ซึ่งทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์และ 1,770 ดอลลาร์ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์และ 1,810-1,815 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,787.52 | -6.58 | 1,780/1,770 | 1,800/1,810 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
27,800 | -50 | 27,650/27,550 | 27,900/28,050 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
27,820 | -120 | 27,730/27,580 | 28,020/28,170 |
เทรดดิ้งระยะสั้นแนะนำซื้อขายตามกรอบราคาทอง Spot ระหว่าง 1,780-1,810ดอลลาร์(GF27,730-28,170บาท) รวมทั้งแนะนำเปิดสถานะขายเมื่อราคาทอง Spot ปรับขึ้นมาที่บริเวณ 1,810ดอลลาร์ (GF 28,170บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,815ดอลลาร์ (GF 28,230บาท)
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,789.10 | -10.40 | 1,782/1,772 | 1,802/1,812 |
เทรดดิ้งระยะสั้นแนะนำซื้อขายตามกรอบราคา GOU21ระหว่าง 1,782-1,812ดอลลาร์รวมทั้งแนะนำเปิดสถานะขายเมื่อราคา GOU21ปรับขึ้นมาที่บริเวณ 1,812ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,817ดอลลาร์
ค่าเงิน
ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดอ่อนค่าลงทั้งนี้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องจากสหรัฐประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบรายปีซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับลดวงเงินมาตรการ QE และเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งUSD Futures เดือนก.ย.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 32.60 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 32.80บาท/ดอลลาร์
News
ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลล์แข็งเทียบสกุลเงินหลักขานรับข้อมูลศก.สหรัฐแกร่ง
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินเพิ่มขึ้น 0.10% แตะที่ 92.5779 เมื่อคืนนี้
ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดลบ $7.9 เหตุดอลล์แข็ง-นลท.เทขายกดดันตลาด
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยยังคงปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดนอกจากนี้นักลงทุนยังเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังประธานาธิบดีโจไบเดนได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในวันศุกร์ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.9 ดอลลาร์หรือ 0.44% ปิดที่ 1,792.1 ดอลลาร์/ออนซ์และร่วงลงมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 27.7 เซนต์หรือ 1.15% ปิดที่ 23.9 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดพุ่ง $1.58 ขานรับสหรัฐ-จีนเจรจาลดความขัดแย้ง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโจไบเดนกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวของปริมาณน้ำมันในสหรัฐหลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนไอดาสัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์หรือ 2.3% ปิดที่ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรลและปรับตัวขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์หรือ 2.1% ปิดที่ 72.92 ดอลลาร์/บาร์เรลและปรับตัวขึ้น 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดาวโจนส์ปิดลบ 271.66 จุดวิตกเฟดลดQE เร็วกว่าคาดหลังเงินเฟ้อพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐหลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. และนักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,607.72 จุดลดลง 271.66 จุดหรือ -0.78%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,458.58 จุดลดลง 34.70 จุดหรือ -0.77% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,115.49 จุดลดลง 132.76 จุดหรือ -0.87% ในรอบสัปดาห์นี้ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.15%, ดัชนีS&P500 ลดลง 1.7% และดัชนีNasdaq ลดลง 1.61%
ปธ.เฟดแอตแลนตาเชื่อมั่นเฟดจะเริ่มลดQE ปีนี้หลังเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
นายราฟาเอลบอสติกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่าเขาเชื่อว่าเฟดจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตราผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้แม้เขาไม่คาดว่าเฟดจะตัดสินใจประกาศแผนการดังกล่าวในการประชุมเดือนนี้ก็ตาม “ตราบใดที่ข้อมูลเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งในช่วงต้นฤดูร้อนผมก็มั่นใจว่าเฟดจะปรับลดวงเงินQE ในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้” นายบอสติกกล่าวประธานเฟดสาขาแอตแลนตายังกล่าวด้วยว่า “เรายังไม่พบว่ามีข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมาซึ่งทำให้ผมมองว่ามีโอกาสอย่างมากที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินQE ในปีนี้และการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม” ทั้งนี้นายบอสติกซึ่งปัจจุบันเป็นกรรมการที่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) นั้นไม่คาดว่าเฟดจะประกาศปรับลดวงเงินQE ในการประชุมวันที่21-22ก.ย.นี้ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่คณะกรรมการเฟดใช้ในการพิจารณาว่าจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินQE หรือไม่ในการประชุมเดือนนี้ทั้งนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง235,000ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ720,000ตำแหน่งหลังจากพุ่งขึ้น1,053,000ตำแหน่งในเดือนก.ค.
ไบเดนยกหูหารือสีจิ้นผิงหวังหลีกเลี่ยงความขัดแย้งสองประเทศ
ประธานาธิบดีโจไบเดนแห่งสหรัฐได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเป็นเวลา90นาทีในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทยและเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้โดยผู้นำทั้งสองหารือกันเกี่ยวกับความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการแข่งขันซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างสองประเทศทำเนียบขาวเปิดเผยว่าปธน.ไบเดนและปธน.สีได้หารือกันในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศรวมไปถึงด้านผลประโยชน์, คุณค่าและมุมมองที่แตกต่างกันนอกจากนี้การสนทนายังมุ่งเน้นในประเด็นเศรษฐกิจ, ภาวะโลกร้อนและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โมเดอร์นาเร่งพัฒนาวัคซีนแบบโดสเดียวเป็นบูสเตอร์ต้านโควิดและไข้หวัดใหญ่
บริษัทโมเดอร์นาอิงค์เปิดเผยว่าทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนแบบโดสเดียวซึ่งจะรวมวัคซีนบูสเตอร์ป้องกันไวรัสโควิด-19และไข้หวัดใหญ่ไว้ในเข็มเดียวกันโดยโมเดอร์นาคาดหวังว่าทางบริษัทจะสามารถเพิ่มประเภทของวัคซีนในหมวดที่ใช้ในการป้องกันไวรัสทางเดินหายใจ (RSV) และโรคทางเดินหายใจประเภทอื่นๆด้วยการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียวต่อปี “เราชื่อว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้าหากเราสามารถรวมวัคซีนที่สามารถป้องกันไวรัสทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพไว้ในวัคซีนบูสเตอร์และฉีดเพียงเข็มเดียวต่อปีเราเชื่อว่าโมเดอร์นาจะเป็นบริษัทแรกที่ทำตลาดวัคซีนชนิดใหม่นี้” นายสเตฟานบันเซลซีอีโอของโมเดอร์นากล่าวทั้งนี้ข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นโมเดอร์นาปิดตลาดพุ่งขึ้น7.81%ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้รายงานระบุว่าโมเดอร์นากำลังทำการทดลองวัคซีนRSV ทางคลินิกกับอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทโมเดอร์นารวมทั้งไฟเซอร์และไบออนเทคจะทำรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการจำหน่ายวัคซีนบูสเตอร์หรือวัคซีนเข็ม3เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัสโควิด-19นอกจากนี้การรวมวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่และโรคอื่นๆเข้าไว้ด้วยกันจะช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัทเหล่านี้ด้วย