โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
ลุ้นที่ราคาทดสอบแนวต้านโซนที่ 1,921 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคายืนไม่ได้อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา เมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงจะมีแนวรับบริเวณ 1,900-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,900 1,889 1,875 แนวต้าน : 1,921 1,933 1,949
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.8 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าราคาทองคำในวันทำการสุดท้ายของปี 2020 จะได้รับแรงกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงเกินคาดสู่ระดับ 787,000 ราย อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัด เพราะโดยรวมแล้วราคาทองคำในระยะนี้ยังคงได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ในวงกว้างว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ หลังเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวกดดันให้สกุลเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไม่ไกลจากระดับต่ำสุดจากระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี พร้อมกับกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากเรือรบ 2 ลำของสหรัฐได้ทำการแล่นผ่านช่องแคบไต้หวันในวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีน ส่วนตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางตลาดหุ้นได้เริ่มกระบวนการถอดบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน 3 แห่งออกจากตลาดแล้ว ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +0.88 ตันในวันพฤหัสบดี ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนให้ราคาทองคำปิดตลาดในวันทำการสุดท้ายของปี 2021 ที่ระดับ 1,897.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมกับปิดตลาดในเดือนธ.ค.ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.8% และปิดตลาดในปี 2020 ด้วยปรับตัวสูงขึ้น 25% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นในรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 ชณะที่เช้านี้ราคาทองพุ่งต่อแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์บริเวณ 1,918.45 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากแรงซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมาร์กิจ และข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง
ปัจจัยทางเทคนิค :
หากราคาทองคำทดสอบแนวต้านที่ 1,921 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถผ่านได้ อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา เนื่องจากช่วงก่อนหน้าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดโซนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,900-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคามีแนวโน้มจะกลับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านด้านบนอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน :
ราคาทองคำมีจุดเปิดสถานะซื้อระยะสั้นในบริเวณโซน 1,900-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุดแนวรับ 1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์) แต่หากราคาขยับขึ้นให้พิจารณาบริเวณ 1,921 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะซื้อทำกำไร หากผ่านได้อาจชะลอการขายทำกำไรไปยังโซนแนวต้านถัดไป
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มกระบวนการถอดบริษัทจีน 3 แห่งออกจากตลาด ตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศว่า ทางตลาดหุ้นได้เริ่มกระบวนการถอดบริษัทจีน 3 แห่งออกจากตลาดแล้ว โดยบริษัท 3 แห่งที่ว่านี้คือบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน ได้แก่ ไชน่าเทเลคอม ไชน่าโมบายล์ และไชน่ายูนิคอม (ฮ่องกง) การถอดถอนหุ้นของบริษัทเหล่านี้เป็นไปตามคำสั่งของคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตัดสินใจขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน แถลงการณ์จากตลาดหุ้นนิวยอร์กระบุว่า บริษัทที่กำลังจะถูกถอดออกเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กอีกต่อไป
- (+) อิหร่านเดินหน้าละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ ประกาศเพิ่มสมรรถนะแร่ยูเรเนียม สำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เปิดเผยในวันศุกร์ (1 ม.ค.) ว่า อิหร่านได้แจ้งต่อทาง IAEA ว่า อิหร่านวางแผนที่จะเพิ่มสมรรถนะแร่ยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิ์ถึง 20% ซึ่งเป็นระดับก่อนที่อิหร่านจะทำข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 การประกาศดังกล่าวของอิหร่านนับเป็นครั้งล่าสุดในรอบหลายครั้งที่ผ่านมาที่แจ้งกับ IAEA ว่า อิหร่านวางแผนที่จะละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ต่อไป หลังจากที่เริ่มละเมิดข้อตกลงในปี 2562 เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และกลับไปกำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านอีกครั้ง
- (-) มาร์เก็ตแคปยักษ์ใหญ่เทคโนฯสหรัฐ 7 แห่งพุ่งรวม 3.4 ล้านล้านดอลล์ในปี 63 บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีมูลค่าสูงสุด 7 แห่งซึ่งได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอมะซอน, อัลฟาเบท, เฟซบุ๊ก, เทสลา และอินวิเดีย มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) พุ่งขึ้นรวมกัน 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2563 โดยบริษัทดังกล่าวยังคงสามารถโชว์ความแข็งแกร่งได้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในวงกว้าง สำนักข่าว CNBC รายงานว่า แอปเปิลมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยพุ่งขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากราคาหุ้นพุ่งขึ้น 81% ขานรับความเชื่อมั่นเกี่ยวกับยอดขาย iPhone, แอมะซอนมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 7.10 แสนล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของลูกค้าอี-คอมเมิร์ซและธุรกิจคลาวด์-คอมพิวติ้ง, เทสลามีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 5.93 แสนล้านดอลลาร์โดยได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3/2563, ไมโครซอฟท์มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 4.80 แสนล้านดอลลาร์โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ Teams, อัลฟาเบทมีมูลค่าตลาดเพิ่ม 2.68 แสนล้านดอลลาร์ และเฟซบุ๊กมีมูลค่าตลาดเพิ่ม 1.93 แสนล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการผูกขาดธุรกิจโฆษณาออนไลน์
- (-) จีนยังหวังสานสัมพันธ์กับสหรัฐ หนุนคลี่คลายความขัดแย้งผ่านการเจรจา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน เผยจีนและสหรัฐยังสามารถเปิดฉากแห่งความหวังในเรื่องความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีได้ในปีใหม่นี้ พร้อมกับสนับสนุนให้สหรัฐคลี่คลายความขัดแย้งในด้านต่าง ๆ ผ่านการเจรจา นายหวัง อี้ กล่าวผ่านบทสัมภาษณ์ที่ได้มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ของกระทรวงว่า นโยบายที่มีต่อสหรัฐของเราจะยังคงความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ เรายังคงเต็มใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐภายใต้รูปแบบของการประสานงาน ร่วมมือกัน และมีเสถียรภาพ
- (-) ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก รับข้อมูลเศรษฐกิจสดใส ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) แต่เมื่อเทียบตลอดทั้งปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 7% การซื้อขายในตลาดเงินนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ได้รับปัจจัยหนุน โดยนักลงทุนขานรับตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานซึ่งปรากฏว่าลดลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์แล้ว ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.33% แตะ 89.9700 เมื่อคืนนี้ ยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2210 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2290 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3664 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3611 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7705 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7677 ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 103.27 เยน จากระดับ 103.25 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8857 ฟรังก์ จากระดับ 0.8820 ฟรังก์ ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2737 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2763 ดอลลาร์แคนาดา ดัชนีดอลลาร์ร่วงลง 7.2% ในปีนี้ โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 89.277 และ 88.251 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปี 2561
- (-) ดาวโจนส์ปิดบวกทำนิวไฮ รับข้อมูลเศรษฐกิจสดใส ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดบวกทำสถิติสูงสุดด้วยเช่นกัน โดยนักลงทุนขานรับตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานซึ่งปรากฏว่าลดลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์แล้ว ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,606.48 จุด เพิ่มขึ้น 196.92 จุด หรือ 0.65%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,756.07 จุด เพิ่มขึ้น 24.03 จุด หรือ 0.64% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,888.28 จุด เพิ่มขึ้น 18.28 จุด หรือ 0.14%