บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 8 ต.ค.64 by YLG
โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
เน้นการซื้อขายทำกำไรระยะสั้น โดยเปิดสถานะขายในโซน 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หวังเข้าซื้อคืนหากราคาไม่หลุดแนวรับโซน 1,747-1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาหลุดแนวรับดังกล่าวให้ชะลอการปิดสถานะขายไปที่แนวรับถัดไป
แนวรับ : 1,747 1,735 1,721 แนวต้าน : 1,771 1,787 1,808
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 6.60ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำได้รับแรงกดดันหลักมาจากการเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงสู่ระดับ 326,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 345,000 ราย ประกอบกับสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในเดือนนี้ได้ หลังจากเมื่อคืนนี้วุฒิสภาสหรัฐบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนที่เช้านี้ตามเวลาไทยวุฒิสภาเพิ่งลงมติ “อนุมัติ” ร่างกฏหมายเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐอีก 4.80 แสนล้านดอลลาร์สู่ระดับ 28.9 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ระดับ 28.4 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยง สะท้อนจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ซึ่งกระตุ้นแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้างซึ่งรวมถึงทองคำ ขณะที่แรงขายพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยนั้นหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ให้พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.58% จนเป็นปัจจัยกดดันทองคำเพิ่ม ส่งปลให้ราคาทองคำร่วงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,751.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของทองคำเป็นไปอย่างจำกดัเนื่องจากได้รับแรงหนุนจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเล็กน้อย จากแรงขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับวันนี้จับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงแรงงานสหรัฐประจำเดือนก.ย. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะส่งผลต่อการคาดการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)และมีแนวโน้มจะส่งผลให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวน
ปัจจัยทางเทคนิค :
หากราคาทองคำไม่สามารถกลับขึ้นยืนเหนือ 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่บริเวณ 1,751-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามในโซนแนวรับ ต้องจับตาแรงซื้อเก็งกำไรที่อาจเพิ่มสูงขึ้น แต่หากไม่สามารถยืนได้ราคาอาจอ่อนตัวลงทดสอบโซน แนวรับสำคัญโซน 1,735ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
เน้นการลงทุนระยะสั้นโดยเปิดสถานะขาย บริเวณ 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และตัดขาดทุนหากผ่าน 1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา และทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรหากราคาไม่หลุดโซนแนวรับ 1,751-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่หากราคาหลุดแนวรับดังกล่าวให้ชะลอการปิดสถานะขายไปที่แนวรับถัดไปโซน 1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อย ก่อนสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงาน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.05% แตะที่ 94.2216 เมื่อคืนนี้ ยูโรทรงตัวเมื่อที่ระดับ 1.1550 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3621 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3581 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7310 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7269 ดอลลาร์ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2553 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2589 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 111.62 เยน จากระดับ 111.43 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9290 ฟรังก์ จากระดับ 0.9278 ฟรังก์
- (+) ซีไอเอ’ ตั้งศูนย์ใหม่รับมือภัยคุกคามจากจีนโดยเฉพาะสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ (CIA) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในบางอย่างขององค์กร ด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการด้านจีน” (China Mission Center) เพื่อตอบโต้ต่อนโยบายที่เป็นปรปักษ์ของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ผู้อำนวยการซีไอเอ วิลเลียม เบิร์นส ประกาศการจัดตั้งศูนย์แห่งใหม่ในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่า รัฐบาลจีนคือ “ภัยคุกคามด้านภูมิศาสตร์การเมืองที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21” และว่า ซีไอเอจะเป็นด่านหน้าในการรับมือบททดสอบที่ท้าทายที่สุดในยุคสมัยใหม่นี้ เหมือนที่ทำมาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา นอกจากศูนย์ปฏิบัติการด้านจีนแล้ว ซีไอเอยังประกาศจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการข้ามชาติและเทคโนโลยี” (Transnational and Technology Mission Center) รวมทั้งเพิ่มตำแหน่งใหม่ คือ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี หรือ chief technology officer เพื่อรับหน้าที่จัดการประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความมั่นคงปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สาธารณสุขโลก และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
- (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 337.95 จุด ขานรับคองเกรสบรรลุดีลเพิ่มเพดานหนี้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (7 ต.ค.) ขานรับข่าววุฒิสภาสหรัฐบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยหนุนแรงซื้อหุ้นเป็นวงกว้าง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐในวันนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,754.94 จุด เพิ่มขึ้น 337.95 จุด หรือ +0.98% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,399.76 จุด เพิ่มขึ้น 36.21 จุด หรือ +0.83% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,654.02 จุด เพิ่มขึ้น 152.10 จุด หรือ +1.05%
- (-) วุฒิสภาสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้แล้วนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ประกาศในวันนี้ว่า แกนนำของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐจนถึงต้นเดือนธ.ค. ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในเดือนนี้ อย่างไรก็ดี นายชูเมอร์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าข้อตกลงดังกล่าวมีการระบุวงเงินเพดานหนี้หรือไม่ หรือระบุแต่เพียงการขยายเวลาออกไป แต่ผู้ช่วยวุฒิสมาชิกรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์จะเอ่ยนาม เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐอีก 4.80 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 28.9 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ระดับ 28.4 ล้านล้านดอลลาร์
- (-) “ไฟเซอร์” ยื่นขออนุมัติ FDA ฉีดวัคซีนโควิดให้เด็กกลุ่มอายุ 5-11ปี บริษัทไฟเซอร์ อิงค์แถลงในวันนี้ว่า ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้แก่เด็กที่มีอายุ 5-11 ปี การยื่นขออนุมัติดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่บริษัทได้รับอนุมัติจาก FDA สำหรับการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 12-15 ปีเป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
- (-) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ326,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. จากระดับ 364,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 345,000 ราย