โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ
เน้นเก็งกำไรจากการแกว่งตัวในกรอบ แนะนำเปิดสถานะขายในโซน 1,714-1,729 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หวังเข้าซื้อคืนหากราคาไม่หลุดแนวรับโซน 1,688-1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากรับความเสี่ยงได้น้อยให้ชะลอการลงทุน
แนวรับ : 1,683 1,657 1,639 แนวต้าน : 1,729 1,754 1,772
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวลดลง 16.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำพยายามทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,714.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้ โดยได้รับแรงกดดันจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 250,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงเกินคาดสู่ระดับ 3.5%
ขณะที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ดีดตัวขึ้น 0.3% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สะท้อนจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75bps สู่ระดับ 3.75-4.00%
ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากโอกาสราว 80% ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขในตลาดแรงงาน ปัจจัยดังกล่าวหนุนดัชนีดอลลาร์ ให้ปิดแข็งค่าขึ้น 0.55% ในวันศุกร์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.9099% และเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อ ซึ่งเป็นเป็นการปรับตัวขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 จนเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำให้ร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,690.78 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -2.03 ตัน สำหรับวันนี้ ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากภาคธนาคารของสหรัฐจะปิดทำการ เนื่องในวัน Columbus Day อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดทองคำยังคงเปิดซื้อขาย แต่ปริมาณการซื้อขายอาจเบาบางกว่าปกติ
ปัจจัยทางเทคนิค
วันก่อนหน้าราคาอ่อนตัวลง หากราคาฟื้นตัวขึ้นไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,714-1,729 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจมีแรงขายออกมา อย่างไรก็ตาม หากการอ่อนลงของราคาไม่หลุดโซนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,688-1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนแรงขายอาจชะลอตัวหรืออาจเกิดการดีดตัวขึ้นช่วงสั้น และราคาจะแกว่งตัวออกด้านข้าง
กลยุทธ์การลงทุน
เน้นการลงทุนระยะสั้นรอจังหวะการเปิดสถานะขาย โดยอาจใช้บริเวณ 1,714-1,729 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และตัดขาดทุนหากผ่าน 1,754 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา เมื่อราคาอ่อนตัวลงแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะขายทำกำไรหากราคาไม่หลุดโซนแนวรับ 1,688-1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน
- (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 630.15 จุด วิตกเฟดขึ้นดบ.แรงหลังข้อมูลจ้างงานแกร่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ (7 ต.ค.) หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐในเดือนก.ย. ทำให้นักลงทุนวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากต่อไป และจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,296.79 จุด ร่วงลง 630.15 จุด หรือ -2.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,639.66 จุด ร่วงลง 104.86 จุด หรือ -2.80% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,652.40 จุด ร่วงลง 420.91 จุด หรือ -3.80%
- (+) เกิดเหตุระเบิดบนสะพานเคิร์ชในไครเมียที่เชื่อมต่อกับรัสเซีย สั่งปิดการจราจรแล้ว สำนักข่าว RIA ของทางการรัสเซียรายงานว่า เกิดเหตุไฟไหม้รถบรรทุกถังน้ำมันบนสะพานเคิร์ชในไครเมียเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (8 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่สื่อของยูเครนก็รายงานเหตุระเบิดดังกล่าวเช่นกัน “จากข้อมูลเบื้องต้น รถบรรทุกถังน้ำมันได้เกิดเพลิงไหม้บนส่วนหนึ่งของสะพานของไครเมีย” RIA รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่ง ทั้งนี้ ได้มีการสั่งปิดการจราจรบนสะพานดังกล่าวแล้ว ขณะที่สื่อของยูเครนรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดบนสะพานเมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. หรือ 10.00 น.ตามเวลาไทย
- (-) นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์เกือบ 100% เก็งเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เดือนหน้า นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์เกือบ 100% ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนพ.ย. หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนัก 77.1%
- (-) สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตร +263,000 เดือนก.ย. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 250,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 315,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% จากระดับ 3.7% ในเดือนส.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 537,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 536,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค.ไม่มีการปรับแต่อย่างใด โดยยังคงเพิ่มขึ้น 315,000 ตำแหน่ง กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 288,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 27,000 ตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ดีดตัวขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบรายปี
- (-) ดอลลาร์แข็งค่า ขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่งหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (7 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.48% แตะที่ระดับ 112.7950 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 145.34 เยน จากระดับ 145.05 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9949 ฟรังก์ จากระดับ 0.9905 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.3725 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3751 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9737 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9798 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1076 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1151 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.6369 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6408 ดอลลาร์สหรัฐ
- (-) บอนด์ยีลด์สหรัฐดีดตัว ขานรับตัวเลขจ้างงานสูงกว่าคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นในวันนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ณ เวลา 20.26 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.890% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.853%
- (-) ครัวเรือนในสหราชอาณาจักรอาจถูกตัดไฟฤดูหนาวนี้ หากการนำเข้าไฟฟ้า-ก๊าซลด สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี (6 ต.ค.) รายงานแนวโน้มสถานการณ์ฤดูหนาว (Winter Outlook Report) จากเนชันแนล กริด อีเอสโอ (National Grid ESO) ผู้ดูแลระบบไฟฟ้าของบริเตนใหญ่ระบุว่า ครัวเรือนในสหราชอาณาจักรอาจถูกตัดไฟฟ้าในฤดูหนาวนี้ หากการนำเข้าไฟฟ้าจากยุโรปลดน้อยลง และอุปทานก๊าซมีไม่เพียงพอ